ทำไมกองทุน Healthcare จึงน่าสนใจ
ระยะหลังๆ จะเห็นหลายบลจ. เริ่มออกกองทุนใหม่ๆ ที่เป็นกองทุนต่างประเทศในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare เช่น กรุงศรี กสิกร ออกกองทุน under กองทุนแม่ของ JP Morgan Funds - Global Healthcare Fund, UOB ออกกองทุน under กองทุนแม่ United Global Healthcare Fund เมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น มาปีนี้ ธนชาต ออก IPO กองทุน under กองทุนแม่ คือ Janus Capital Funds plc - Global Life Sciences Fund เนื่องจากผลตอบแทนที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยดูจาก Benchmark ในอุตสาหกรรม Healthcare (MSCI World Health Care Index) อยู่เหนือ Benchmark ของตลาดโลก ตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน เป็นผลจากหลัง Hamburger crisis ทำให้ P/E ที่ต่ำกลับมาฟื้นตัวขึ้น บวกกับผลกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น และการปฏิรูปกฎหมายประกันสุขภาพในสหรัฐ (ObamaCare) ซึ่งถือว่ายังเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีก จากการเข้าสู่สภาวะสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีคนสูงอายุ 60+ มากขึ้นเป็น 3 เท่าของปี 2000 รวมทั้งความต้องการชีวิตที่ยืนยาว สุขภาพดี และอื่นๆ
source: MSCI.com
การเปรียบเทียบกองทุนว่าจะลงกองไหนดีผู้ลงทุนควรศึกษาเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนแม่ (Master Fund) ความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วย
โดยก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ Master Fund ของกองทุนที่แต่ละบลจ ได้ไปลงทุนกันก่อน
เปรียบเทียบ Performance กองทุน 4 กองจะเห็นว่าในช่วงต้น 2012 JPMorgan ออกตัวทำ performance อยู่เหนือกองอื่นๆ แต่ช่วงหลัง กอง Janus ทำผลงานได้ออกมาดีมากแซงหน้า JPMorgan ไปด้วยผลตอบแทนอันดับ 1 ใน 1y 50.05% ส่งผลให้ 3y 37.71%, 5y 29.62% ขี้นอันดับ 1 เช่นกัน ตามมาด้วย Wellington ทำได้ดีมากในช่วงหลังเช่นกัน 1y ได้ถึง 46.56% และ JPMorgan 1y ได้ 36.13% หากดูในระยะสั้น 1m, 3m, 6m กอง Janus ทำผลงานออกมาดี รองลงมา Wellington และ JPMorgan อย่างไรก็ตามทั้ง 4 กองมีผลตอบแทนเหนือBenchmark
source: Funds.ft.com
ด้านความเสี่ยง Manulife จะมีความเสี่ยงน้อยสุด แต่ผลตอบแทนก็ลดลงมา ส่วนผลตอบแทนที่เกาะกลุ่มกัน 3 กอง แต่กองของ wellington จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า
source: Funds.ft.com
ด้านค่าใช้จ่าย total expense ratio กอง Wellington ต่ำสุด คือ 1.35% รองลงมา JPMorgan 1.90% Manulife 1.96% และสูงสุดคือ Janus 2.48% initial charge และ exit charge กอง Wellington ไม่เก็บ ทั้ง 2 ขา อีก 3 กอง เก็บ ขาเข้า ไม่เกิน 5% ขาออก JPmorgan ไม่เกิน 0.50% Janus ไม่เกิน 1% และ Manulife ไม่เก็บ
นอกจากจะเสียค่าธรรมเนียมจาก master fund แล้ว ก็จะมีค่าธรรมเนียมของกองทุนบลจ. ในไทยด้วย ถ้ารวมกับกองต่างประเทศ BCARE น่าจะเป็นกองที่ค่าใช้จ่ายโดยรวมต่ำสุด แม้ว่าจะมีค่า exit charge แต่กองต่างประเทศไม่เก็บ
การให้ rating ของ morntingstar ระดับ 5 ดาว มี wellington, JPMorgan, Janus , UOB ส่วน Manulife ได้ 3 ดาว
เปรียบเทียบรูปแบบการลงทุน
บลจ. บัวหลวง - กอง master คือ Wellington Global Health Care Fund แม้ว่ากองนี้จะลงในหุ้น Large 30% และ Giant 28% เป็นหลัก แต่ก็เน้นการกระจายหุ้นในส่วนของ Medium Small Micro ด้วย โดยมีหุ้นใน portfolio ถึง 123 ตัว เพื่อที่จะรับผลตอบแทนมากขึ้นจากขนาดของบริษัท และส่วนใหญ่จะเน้นลงใน Pharmaceutical & Biotechnology 75% โดยการลงใน Biotech ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงนี้ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงมากด้วยเช่นกัน เนื่องจาก Biotech คือ การคิดค้น วิจัย ทำให้เกิดตัวยา วัคซีน ใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในด้านต่างๆ หากมีการจดสิทธิบัตรจะทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงขึ้นมาก แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน คือ ตั้งแต่ขั้นตอนวิจัยที่ต้องลงทุนสูง และแม้ว่าจะทำการวิจัยสำเร็จ แต่ขั้นตอนการจดสิทธิบัตรของ FDA มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และใช้เวลา รวมทั้งค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ช่วงนี้ อาจจะทำให้บริษัทขาดทุน และมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ สัดส่วนการลงทุนแยกตาม region เน้นลงใน US เกือบ 80% ใน Eurozone 13% แต่ที่ต่างจากกองอื่นคือ การลงใน Japan 7%
Wellington
source: trustnetoffshore.com data as of 31/07/2015
บลจ.กรุงศรี, กสิกร - กอง master คือ JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund
เน้นการลงทุนในหุ้นยักใหญ่พื้นฐานดี โดยมีหุ้น Giant มากที่สุดถึง 57% และ Large 21% จำนวนหุ้นใน portfolio มี 89 ตัว ทั้งนี้หุ้นใน 10 อันดับแรกใน portfolio มีหุ้นยักใหญ่ 7 ตัวติดอันดับ Top 10 market cap คือ Johnson & Jonnson, Novartis, Roche Holding, Gilead Sciences, UnitedHealth Group, และ Bayer เน้นลงทุนใน Pharmaceutical 50% Biotech & Medical 26% สัดส่วนการลงทุนตาม region จะลงใน US 64% Europe-ex Euro 16% และ Eurozone 10%
JPMorgan
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015
บลจ. ธนชาต - กอง master คือ Janus Capital Funds plc - Global Life Sciences Fund เน้นลงทุนในหุ้น Giant 37% และ Large 22% กับ Medium 22% ซึ่งจะมีหุ้นจำนวน 94 ตัว ใน portfolio หุ้นยักใหญ่ เช่น Johnson & Johnson, Roche Holding, Sanofi, และ Amgen เน้นการลงทุนใน Pharmaceuticals 39% และ Life Sciences Tools & Services & Biotechnology 37% ซึ่ง Life Sciences Tools & Services คือ บริษัทที่ครอบคลุมตั้งแต่ คิดค้นยา พัฒนา ตลอดจนกระบวนการผลิต โดยใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลองผลิตภัณฑ์ และบริการงานวิจัย การจัดจำหน่าย รวมทั้งบริษัทที่ให้บริการด้านเภสัชศาสตร์ (Pharmaceutical) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) สัดส่วนการลงทุนตาม region จะลงใน US มากเกือบ 80% Eurozone 8% และ Eurozone - ex Euro 7%
Janus
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015
บลจ. Manulife - กอง master คือ Manulife Global Fund Healthcare
เน้นลงทุนในหุ้น Giant 57% และ Large 42% ซึ่งจะมีหุ้นใน portfolio เพียงแค่ 32 ตัว หุ้นยักใหญ่ เช่น Merck & Co, Roche Holding, Amgen และ Novartis เน้นลงใน pharmaceuticals 44% Healthcare equipment & Supplies 23% สัดส่วนการลงทุนตาม region จะลงใน US มากที่สุด 75% Europe - ex Euro 8% United Kingdom 8%
Manulife
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015
บลจ. UOB - กอง master คือ UOB United Global Healthcare Fund เน้นลงทุนในหุ้น Large 30% Giant 20% และกระจายการลงทุนในหุ้นขนาด Medium Small Micro ด้วย เน้นลงใน pharmaceuticals 29% และ biotech 26% ลงใน US 64% Euro 12% และ Japan 7%
UOB
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015
บลจ. ภัทร - ไม่มีกอง master แต่เป็นการบริหารเอง โดยการเลือกลงทุนในหลายกองทุนรวมในต่างประเทศที่เป็นกองทุนแบบ ETF* ภายใต้หมวดต่างๆในอุตสาหกรรม Healthcare เช่น ETF ของกลุ่มบริษัทยา, ETF ของกลุ่มบริษัท Biotech ซึ่งใน portfolio ของภัทร จะมีกองทุน ETF ประมาณ 8 กอง เน้นการลงทุนใน Pharma 26% Biotech 24% Healthcare 20% และอื่นๆ ซึ่งผลงานที่ผ่านมาก็ทำได้ดี ผลตอบแทนอยู่เหนือ Benchmark** ทั้งนี้เป็นผลจากการเลือกลงกอง ETF ที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น หมวด Biotech เป็นตลาดที่เติบโตสูงมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา หากคำนวณจาก NASDAQ Biotechnology Index ให้ผลตอบแทน ประมาณ 35% ต่อปี *** ข้อดีของการลงทุนใน ETF คือจะเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการมีหุ้นหลายตัว แต่ข้อเสียของการลงทุนมากกว่า 1 กอง ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากขึ้นด้วย
Phatra
source: FIN - App กองทุนรวม Mutual Fund
หมายเหตุ
*ETF คือ exchange traded fund หรือเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพสูงตามดัชนีอ้างอิงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิงของอุตสาหกรรมนั้นๆ ตัวอย่าง ดัชนี Set 50 ถ้าลงในกองทุน ETF Set 50 ผลตอบแทนจะได้ใกล้เคียง Set 50 Index จัดเป็น กองกลยุทธ์แบบ passive
**MSCI World Health Care Index เป็น Index ที่รวบรวมสัดส่วนหุ้นในทุกหมวดของอุตสาหกรรม healthcare ทั่วโลก
***คำนวณจาก NASDAQ Biotechnology Index data as of Aug 3, 2015
บลจ. Tisco - ไม่มีกอง master แต่เป็นการบริหารเอง โดยการเลือกลงทุนในหลายกองทุนรวมในต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงของอุตสาหกรรม healthcare หรืออาจจะมีกองทุนแบบ ETF ร่วมอยู่ด้วยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เน้นกลยุทธ์แบบ Active เพื่อผลตอบแทนสูงสุด ใน portfolio จะมีกองทุน ประมาณ 8 กอง ซึ่งมีกองที่เป็นที่รู้จักดีของ janus, JPMorgan และ Wellington แต่ที่โดดเด่นและทำผลตอบแทนเหนือกว่าก็มี อย่าง ของ Franklin Templeton, UBS เป็นต้น ถือว่าเป็นกองทุนที่น่าจับตามองอีกกองเช่นกัน ข้อดีคือ จะคัดกองทุนที่มีผลตอบแทนที่ดี ข้อเสียคือ แม้ว่าจะได้ผลตอบแทนดีแต่ก็มีความเสี่ยงตามมาด้วย บวกค่าใช้จ่ายการบริหารกองทุนมากขึ้น
Tisco
source: FIN - App กองทุนรวม Mutual Fund
Price comparision
TEMBDAI:LX - Franklin Templeton, UBSEBIO;LX - UBS ผลตอนแทนเหนือ janus (Data as of Aug 03 2015, Bloomberg)
มองอย่างไรต่ออนาคตอุตสาหกรรม Healthcare
จากการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2011 ส่งผลให้ P/E ratio จาก 14 เท่า จนมาถึงช่วงเวลาปัจจุบันประมาณ 25 เท่า ทำให้ถูกมองว่า P/E สูงและมีราคาแพงและอาจจะปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่หรือไม่ ดังนั้นควรระวังความเสี่ยงระยะสั้นที่อาจจะเกิด และปัจจัยอื่นๆ เช่น Patent Cliff ของอุตสาหกรรมยา คือ ช่วงที่สิทธิบัตรของตัวยาที่มีชื่อเสียงกำลังจะทยอยหมดอายุ ทำให้มีคู่แข่งที่สามารถผลิต Generic Drugs ได้ในต้นทุนที่ถูกกว่า ส่งผลต่อการแข่งขันที่สูงขึ้น การต่อต้านนโยบาย Obama care ของฝ่ายค้าน replublican อาจส่งผลต่อนโยบายหากได้รับการเลือกตั้งในปี 2016 ส่วนระยะยาวยังคงเติบโตตามโครงสร้างของจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่า จะมีผู้สูงอายุในปี 2050 กว่า 2 พันล้านคน ในขณะที่ US มีคนอเมริกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยกว่าแปดพันเหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี และมีแนวโน้มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีก 17.5 ล้านคนในปี 2025 ซึ่งนั่นหมายถึงค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มมากขึ้น บวกกับหากยังมีการใช้นโยบาย Obama care อยู่ จะทำให้ มีผู้มีสิทธิเข้าถึงประกันสุขภาพและบริการด้านสุขภาพอีกกว่า 33 ล้านคนในปี 2022 และประเทศเกิดใหม่อย่าง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เป็นต้น มีแนวโน้มของค่าใช้จ่ายด้าน Healthcare เพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศจีนจะมีผู้สูงอายุถึง 248 ล้านคนในปี 2020 นอกจากรับผลประโยชน์จาก Aging Sociaty แล้ว ยังมีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกิดจากมลภาวะ ความรุนแรงของโรค โรคที่มีความซับซ้อน เป็นต้น
สรุปคือ หากผู้ลงทุนสนใจลงทุนในกลุ่ม healthcare แต่ไม่แน่ใจว่าราคาได้สูงไปแล้วหรือไม่ ควรใช้วิธีแบบ เฉลี่ยการลงทุน (DCA) และเน้นการลงทุนแบบระยะยาว